วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2558

อะไรคือการจัดการความเสี่ยง?

นี่เป็นบทที่สาคัญมากที่คุณเคยอ่านมาเลย
          ทาไมมันถึงสาคัญ เพราะว่า เราอยู่ในธุรกิจการทากาไร และในการที่จะทากาไรได้ เราก็ต้องเรียนรู้การจัดการความเสี่ยง
          พูดได้ว่า นี่เป็นส่วนที่คนอื่นมองข้ามมากที่สุดในการเทรด เทรดเดอร์หลายคนนั้นสนใจเฉพาะการเทรดโดยไม่สนใจเรื่องขนาดของบัญชีของพวกเขา
          ซึ่งพวกเขาคิดแค่ว่าบัญชีที่เขามีอยู่นั้นรองรองขาดทุนได้กี่จุด และการเทรดแบบนั้นเรียกว่า ...
การพนัน !

          ถ้าคุณเทรดโดยไม่สนใจเรื่องกฏการจัดการการเงิน คุณเป็นนักพนัน คุณไม่ได้มองระยะยาวในการลงทุนของคุณ คุณแค่รอให้คุณได้แจ็คพอท แค่นั้นเอง
          กฏการจัดการการเงินนั้นไม่เพียงแต่ป้องกันคุณจากการขาดทุน แต่ยังทาให้คุณได้กาไรในระยะยาว ถ้าคุณไม่เชื่อเรา และคิดว่า การพนัน นั้นเป็นทางเดียวที่จะทาให้เรารวย มาดูตัวอย่างนี้กัน :
          คนที่ไป Las Vegas จะไปเล่นพนันเพื่อหวังว่าจะชนะแจ็คพอร์ท และจริง ๆ แล้วพวกเขาก็ชนะเหมือนกัน
แล้วในทาไมในโลกนี้ คาสิโนยังได้กาไร ถ้ามีคนตั้งเยอะชนะและได้แจ็คพอท ?
          คำตอบก็คือขณะที่พวกเขาได้แจ็คพอท ระยะยาวแล้ว คาสิโนก็ยังกาไรเพราะว่า พวกเขาจะได้เงินเยอะกว่าเดิมจากคนที่ไม่ได้ชนะแจ็คพอท และ เลยมีคาพูดที่ว่า บ่อนชนะเสมอ
          ความจริงก็คือ คาสิโน นั้นเป็นนักสถิติที่ดีเท่านั้นเอง พวกเขารู้ว่า ในระยะยาวแล้ว พวกเขาจะได้เงิน ไม่ใช่นักพนัน
          แม้ว่า Joe Schmoe ชนะ $100,000 ตอนเล่น สลอท แมชชีน คาสิโนก็รู้ว่าจะมีนักพนันอีกเป็นร้อยที่ไม่ชนะ และเงินจะเข้ากระเป๋าพวกเขา
          นี่เป็นตัวอย่างง่าย ๆที่นักสถิตินั้นทาเงินจากนักพนันได้อย่างไร แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะเสียเงิน แต่ว่าคาสิโนรู้ว่าพวกเขาจะควบคุมการเสียเงินของพวกเขาอย่างไร ซึ่งเป็นการจัดการการเงิน ถ้าคุณรู้ว่าจะควบคุมการเสียของเขาอย่างไร คุณจะมีโอกาสในการทำกำไร
          คุณต้องเป็นนักสถิติไม่ใช่นักพนันเพราะว่า ระยะยาว คุณจะเป็นผู้ชนะ
          แล้วคุณจะเป็นนักสถิติอย่างนี้ได้อย่างไร แทนที่จะเป็นผู้แพ้ ?

การใช้เงินทุน
          คือการใช้เงินให้ได้เงินมาอีก ทุกคนรู้แต่ว่าขึ้นอยู่กับว่าใครจะเริ่มด้วเงินเท่าไหร่ คาตอบขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเริ่มอย่างไร
          สิ่งแรก ต้องมาดูว่าคุณศึกษามาดีรึเปล่า มีความแตกต่างกันในปัจจัยการเรียนรู้ เช่น บทเรียน ผู้สอน และตัวคุณเอง หรือ ทั้งสามอย่างประกอบกัน
          ขณะที่มีหลายบทเรียน หรือ โค๊ชหลาย ๆ คนที่สอนฟอร์เร็กฟรี ๆ และการที่มีคนสอนหรือมีบทเรียนที่ดีนั้น ย่อมทาให้คุณประสบความสาเร็จได้เร็วขึ้นมากกว่าที่คุณไปฝึกด้วยตัวเองซึ่งบางครั้งก็มีต้นทุนสูง สาหรับบทเรียนที่ไม่ฟรี จากร้อยเหรียญ ไปจน เป็นพันเหรียญ ซึ่งไม่ฟรี
สำหรับใครที่ไม่อยากจ่ายเงินในเรื่องพวกนี้ ข่าวดีก็คือข้อมูลที่คุณอยากได้นั้นหาได้ฟรี ๆ จากอินเตอร์เนท มีทั้งบทความ เว็บไซต์ หรือเว็บโบรคเกอร์เอง
          ตราบเท่าที่คุณเป็นเทรดเดอร์ที่มีวินัยและเรียนรู้ตลาดอยู่ โอกาสในความสาเร็จของคุณจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คุณต้องเป็นนักเรียนที่กระตือรือร้นตลอดเวลา มิฉะนั้น คุณจะจบด้วยความล้มเหลว
          อย่างที่สอง คือ การจะศึกษาตลาดนั้น คุณต้องมีเครื่องต่าง ๆ เช่น โปรแกรมข่าว หรือว่า News Feed ต่าง ๆ และถ้าเป็นนักเทรดที่ใช้เทคนิค ส่วนใหญ่โปรแกรมนั้นมากับโบรคเกอร์ของคุณอยู่แล้ว ซึ่งเพียงพอแล้ว(บางอันก็ดีมาก ๆ )
          ส่วนใครที่ต้องการเครื่องมือที่ดีกว่านั้น หรือว่า โปรแกรมล้ำยุคก็หาได้ตามอินเตอร์เนท ราว ๆ 100 เหรียญต่อเดือน
          และถ้าคุณเป็นคนที่เทรดโดยใช้พื้นฐานคุณต้อง ได้ทุกข่างที่มันอออกมาก รวมทั้งก่อนที่ข่าวจะออกมาด้วย(ได้ก็ดีมาก)
          แต่ ข่าวที่แม่นยานั้นส่วนใหญ่ต้องเสียเงิน และคุณสามารถหาข่าวได้ทั่วไปจากบริการฟรีของโบรคเกอร์อยู่แล้ว แต่ว่า ข่าวที่เร็วกว่า แตกต่างกัน วินาที สองวินาทีก็สามารถวัดความแตกต่างของกาไรได้แล้ว
          สุดท้ายคุณต้องมีเงินทุน ในการเทรด ซึ่งโบรคเกอร์รายย่อยจะมีบริการ mini account ให้คุณ ฝากได้เช่น 25 เหรียญ แต่ว่านั่นไม่ได้หมายความว่าคุณจะกระโดดเข้าไปทันทีนะ ถ้าเข้าใจเรื่องนี้ผิด ๆ ก็จะนำไปสู่ความล้มเหลวด้วย คุณต้องมีเงินทุนพอที่จะผ่านช่วงเวลาที่คุณเสียไปได้ทุกช่วงเวลา
          แล้วคุณต้องใช้เงินทุนเท่าไหร่ คุณต้องซื่อสัตย์ และถ้าคุณฝึกอย่างสม่าเสมอ คุณก็สามารถเริ่มได้กับเงินเยอะ ๆ แม้กระทั่ง 5 หมื่น 1 แสนเหรียญ
          ซึ่งความรู้พื้นฐานทั่วไปของการทาธุรกิจก็คือ ธุรกิจส่วนใหญ่ที่ล้มเหลว เพราะว่าคุณไม่มีความเข้าใจเรื่องเงินทุน โดยเฉพาะในตลาดฟอร์เร็ก
          ดังนั้นถ้าคุณไม่สามารถเริ่มด้วยเงินก้อนใหญ่ ที่เสียไม่ได้ คุณก็ควรจะเก็บไว้และเรียนรู้จนกว่าคุณจะพร้อม

Drawdown และ Maximum Drawdown
          เรารู้แล้วว่าการจัดการการเงินจะช่วยให้เราอยู่รอดในระยะยาว แต่ว่าตอนนี้เราอยากให้คุณรู้อีกอย่างหนึ่ง จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณไม่ใช้การจัดการการเงิน?
ลองพิจารณาตัวอย่างนี้กัน :
          สมมุติว่าคุณมีเงินอยู่ 1 แสนเหรียญ และคุณเสีย 5 หมื่นเหรียญ คุณขาดทุนเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของเงินทุน ?
คาตอบก็คือ 50%.
ไม่ยากใช่ไหม?
สิ่งนี้เราเรียกว่า drawdown.
          Drawdown คือการลดลงของเงินทุนหลังจากการเทรดเสีย ซึ่งปกติจะถูกคานวณโดยใช้ความแตกต่างของเงินในบัญชีสูงสุด ลบกับผลขาดทุน ซึ่งเทรดเดอร์พวกเขาจะวัดเป็นเปอร์เซ็นต์

การเสียติดต่อกัน
          ในการเทรด เราจะมองหาความเป็นที่สุดเสมอ ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทาไมเทรดเดอร์พัฒนาระบบเทรดขึ้นมา และระบบเทรดที่ได้กำไร 70 % ดูเหมือนจะยอดเยี่ยม แต่ว่า เพราะว่า ระบบเทรดของคุณทำกำไร 70 เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้หมายความว่า ทุก ๆ 100 ออร์เดอร์ คุณจะได้กำไร 7 ออร์เดอร์ จาก 10 ออร์เดอร์ ?
คุณจะรู้ได้อย่างไรว่า 70 ออร์เดอร์ของคุณเป็นออร์เดอร์ จะได้กำไรเมื่อไหร่ 100 ออร์เดอร์ ?
          คำตอบก็คือ คุณไม่รู้ เราสามารถ คุณขาดทุนติดกัน 30 ออร์เดอร์ได้ แต่ว่า ระบบก็ยังให้กำไรกับคุณ 70 เปอร์เซ็นต์ แต่คุณต้องถามตัวเองว่า คุณจะอยู่รอดจากเกมส์ได้รึเปล่า ถ้าคุณเสียสามสิบครั้งติดกัน
          นี่คือ เหตุผลว่าทำไมการจัดการการเงินถึงสาคัญ ไม่สาคัญว่าคุณใช้ระบบอะไรอยู่ คุณจะพบการขาดทุนติดต่อกัน แม้แต่นักโป๊กเกอร์มืออาชีพ ที่เล่นโป๊กอยู่ก็จะพบการเสียติดกัน และพวกเขาก็ยังทำกำไรได้ในตอนท้าย
          เหตุผลก็คือ นักโป๊กเกอร์ที่ดี พวกเขามีการจัดการการเงินที่ดี เพราะว่าพวกเขาจะไม่สามารถชนะทุกรายการ พวกเขาจะเสี่ยงด้วยเงินจำนวนน้อยในบัญชีของเขาเพื่อรอดจากการขาดทุนติดต่อกัน
และนี่คือสิ่งที่คุณต้องทาเมื่อคุณเป็นเทรดเดอร์ Drawdown นั้นเป็นส่วนหนึ่งของการเทรด และการเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จนั้น แผนการเทรดเป็นสิ่งที่ทาให้คุณเผชิญหน้ากับการขาดทุน และแผนการเทรดของคุณก็ต้องมีการจัดการความเสี่ยงในนั้นด้วย
          การเสี่ยงน้อยในบัญชีการเทรดของคุณ คุณจะสามารถอยู่รอดจากการขาดทุนติดต่อกันได้ จำไว้ว่า ถ้าคุณฝึกอย่างมีวินัย ในการใช้การจัดการการเงิน คุณจะกลายมาเป็นบ่อน และ บ่อนคาสิโนก็ทำกำไรได้ในระยะยาวเสมอ
          ในส่วนต่อไป เราจะแสดงให้เห็นว่า เกิดอะไรขึ้นเมื่อคุณใช้การจัดการการเงิน และ เมื่อคุณไม่ใช้จะเป็นอย่างไร

อย่าหมดตัว
          นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่า การเสี่ยงด้วยเงินน้อย ๆ และเปรียบเทียบกับการเทรดที่มีความเสี่ยงสูง
เสี่ยง  2% กับ 10%


          คุณจะเห็นว่า มันแตกต่างกันมากระหว่างการเสี่ยงสองเปอร์เซ็นต์ และการเสี่ยง 10 เปอร์เซ็นต์ในแต่ละครั้งในการเทรด ถ้าคุณเกิดการเสียติดกันอย่างตัวอย่างเสีย 19 ครั้งติดกัน คุณจะเหลือเงินเพียงแค่ $3,002 ถ้าคุณเลือกที่จะเสี่ยง 10% ซึ่งมากกว่า 85 เปอร์เซ็นต์ ถ้าคุณเสี่ยง 2% คุณจะเหลือเงิน $13,903 ซึ่งคุณเสียเงินไปแค่ 30% ของเงินในบัญชีของคุณ
          แน่นอนว่า นั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่เราจะทา คือเสียติดกัน 19 ครั้ง แต่ว่า แม้ว่าคุณเสียติดกัน 5 ครั้ง มันก็แตกต่างกันมากเช่นกันในการเสี่ยง 2 เปอร์เซ็นต์กับ 10 เปอร์เซ็นต์และยังเหลือเงิน $18,447 ถ้าคุณเสี่ยง 10% คุณจะเหลือเงิน แค่ $13,122. แต่นั่นก็น้อยกว่าคุณเสี่ยง 2 % ที่เสียติดกัน 19 ครั้งอีก !
          ประเด็นก็คือ คุณต้องใช้การจัดการการเงิน เมื่อคุณเจอกับ Drawdown คุณจะยังมีเงินเหลือ
คุณลองจินตนาการว่าถ้าคุณเสีย 85% ดูสิ ?!!
คุณต้องทำกำไรเพิ่มถึง 566% เพื่อที่จะให้ได้กลับมาเท่าทุนอีกครั้ง
เชื่อเราสิ คุณไม่ต้องการให้มันเป็นอย่างนั้นหรอก ต่อไปนี้เป็นตารางที่จะให้คุณเห็นว่า คุณจะต้องทำเป็นจำนวนเท่าไหร่ถึงจะกลับมาเท่าเดิม ถ้าคุณขาดทุนในจำนวนเท่านั้น


          คุณจะเห็นว่า ยิ่งคุณเสียเยอะ มันก็ยิ่งยากที่จะกลับมาเท่าทุนได้ ซึ่งนี่เป็นเหตุผลว่า คุณต้องวางแผนในการเทรดให้ดี
          ตอนนี้เราหวังว่าคุณคงซึมซับบ้างแล้วเรื่องควรจะเสี่ยงน้อยที่สุดในแต่ละการเทรดซึ่งจะทำให้คุณรอดจากการขาดทุนติดต่อกัน จำไว้ว่าคุณต้องเป็นบ่อน ไม่ใช่นักพนัน !

Reward-to-Risk Ratio
          อีกวิธีหนึ่งที่จะเพิ่มโอกาสในการเทรดคือ สามารถได้กำไรมากกว่าที่คุณเทรดได้ สามเท่า ถ้าคุณใช้อัตราส่วนกำไรต่อขาดุทน เท่ากับ 3:1 reward-to-risk ratio คุณก็จะมีโอกาสในการทำกำไรได้ในระยะยาว ลองมาดูตัวอย่างข้างล่างกัน :


          ตามตัวอย่างคุณจะเห็นว่าแม้ว่าคุณเทรดชนะแค่ 50 % แต่คุณก็ยังได้กาไรตั้ง $10,000 แต่จาไว้ว่าเมื่อไรก็ตามที่คุณเทรดตามอัตราส่วนที่ดี คุณก็ยังมีโอกาสกำไรแม้ว่าเปอร์เซ็นต์ ชนะคุณจะต่า

แต่...
          แต่ปัญหาก็คือ การตั้งค่า reward-to-risk ratio มากเกินไป บางครั้งก็อาจจะฟังดูดี แต่เราจะปรับใช้ในการเทรดจริงอย่างไร
          สมมุติว่าคุณเป็น scalper และคุณอยากจะเสี่ยง 3 จุด ใช้ อัตราส่วน 3:1 reward to risk ratio นั่นหมายความว่าคุณต้องได้กำไร 9 จุด ซึ่งคุณก็จะต้องจ่ายค่า Spread ด้วยอย่าลืม
          ถ้าโบรคเกอร์ของคุณมี Spread 2 จุด คู่เงิน EUR/USD คุณจะต้องทำกำไรให้ได้ 11 จุด ซึ่งแทบจะเป็น 4: 1 เลยทีเดียว ซึ่ง EUR/USD สามารถเคลื่อนไหวตรงข้ามกับออร์เดอร์ที่คุณเทรด3 จุด อย่างง่ายดาย และคุณก็จะขาดทุนอย่างรวดเร็ว
          ถ้าคุณลด ขนาดออร์เดอร์ลงคุณก็สามารถขยาย Stop loss ของคุณออกได้ ตอนนี้ถ้าคุณเพิ่มเพิ่มความเสี่ยงเท่ากับ 50 จุด คุณต้องได้กาไร 153 จุด ซึ่งคุณจะสามารถใช้อัตรา RR เท่ากับ 3:1 ได้ ดีขึ้นใช่ไหม?
          ในโลกแห่งความจริง reward-to-risk ไม่ได้ตายตัว ต้องปรับใช้ตาม Time Frame และสภาพแวดล้อมตลาด และจุดเข้าจุดออกของคุณเอง บางออร์เดอร์ อาจจะมี RR ถึง 10:1 บางออร์เดอร์กลับมีแค่ 0.7:1.

สรุป: การจัดการความเสี่ยง
          ทาตัวเป็นบ่อน ไม่ใช่นักพนัน !
          จำไว้เสมอว่า บ่อนเป็นนักสถิติที่ร่ำรวย !
          การจัดการความเสี่ยงมันทำให้เงินทำเงินให้เราได้ แม้ทุกคนจะรู้ แต่ว่าพวกเขาไม่รู้จะเริ่มอย่างไรในการเทรด และคำตอบนั้นขึ้นอยู่กับพวกเขาเอง
          Drawdown นั้นมีอยู่จริง และจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
          ยิ่งคุณเสียมากเท่าไหร่ คุณก็จะกลับมาได้กำไรเท่าทุนนั้นยากขึ้น ซึ่งด้วยเหตุนี้คุณต้องทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเงินทุนของคุณ
          เราหวังว่าคุณคงได้อะไรบ้างจากการเสี่ยงให้น้อยที่สุดในการเทรดเพื่อที่จะเอาตัวรอดในระยะยาวได้และหลีกเลี่ยงการเกิด Drawdown ในบัญชีของคุณ
          ยิ่งคุณเสียเงินน้อยเท่าไหร่ คุณก็มี Drawdown น้อยเท่านั้น ยิ่งคุณเสียเยอะ มันก็จะกลับมาเท่าเดิมยากเท่านั้น
          ซึ่งหมายความว่าคุณควรเทรดด้วยเปอร์เซ็นต์ต่า ๆ ยิ่งต่ายิ่งดี
น้อยได้อีก

คุณควรจะเสี่ยงที่ 2% หรือน้อยกว่า
          แม้ว่าคุณอยากจะใช้ อัตรา reward to risk สูง แต่ว่าต้องมาดูโลกแห่งความเป็นจริง เพราะว่ามันไม่สามารถจะใช้แบบนั้นตายตัวได้ตลอด  ซึ่งจะต้องปรับเสมอขึ้นอยู่กับ Time Frame สภาพตลาด และจุดเข้าจุดออกของคุณ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น